เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒ ม.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

พุทธศาสนานี้เป็นศาสนาที่ประเสริฐมาก ประเสริฐจนแบบว่ามนุษย์เรานี้จะรู้แทบไม่ได้เลย แทบไม่ได้เลยนะ ! แต่เวลาประพฤติปฏิบัติเข้าไปตามความเป็นจริงมันจะรู้ไปตามสัจจะความจริงของมัน มันไปตามความจริงของมัน

ศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาที่ประเสริฐมาก ประเสริฐจนตอบผลที่มาของชีวิตได้ เราดูลัทธิศาสนาต่างๆ สิ จะตอบปัญหาชีวิตไม่ได้นะ ถ้าตอบปัญหาชีวิตไม่ได้ คือว่าต้องกลับไปอยู่กับพระเจ้าไง กลับไปอยู่ที่เดิมนั้น กลับไปสู่ที่มา แล้วที่มาที่ไปก็ไม่เข้าใจนะ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ชีวิตนี้มาจากไหน.. ทำไมคนเรามีการแตกต่าง.. ทำไมคนเรา ดูสิเวลาพระพุทธเจ้านี่มีได้องค์เดียว องค์เดียวเพราะอะไร เพราะพุทธวิสัย พุทธภูมินี้กว่าจะสร้างมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนอดีตชาติไป ย้อนอดีตชาติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ก่อนที่วิชชา ๓ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ย้อนตั้งแต่เราเคย.. ท่านใช้คำว่าเราเคยเป็น เราไม่ได้เป็นนะ ! เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะนี่ จะไปเป็นพระเวสสันดรได้อย่างไร “เราเคยเป็นเวสสันดร เราเคยเป็นทศชาติ เราเคยเป็น !”

คำว่าเราเคยเป็นเพราะจิตดวงนี้มันเป็นมาก่อน พอมันเป็นมาแล้วจิตดวงนี้มันเปลี่ยนแปลงมา ในปัจจุบันนั้นเป็นเจ้าชายสิทธัตถะถึงไม่ใช่เราเป็น เพราะเราเป็นไม่ได้ ในปัจจุบันนั้นเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แต่เวลาบรรลุธรรมขึ้นมาแล้วเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราเป็นอยู่ก็เป็นเวสสันดรก็ไปคาอยู่นั่นล่ะ เห็นไหม มันเป็นอดีตมาไง

นี่พูดถึงว่าพุทธศาสนานี้ประเสริฐมาก ประเสริฐจนตอบชีวิตเราได้ไง ว่าชีวิตนี้ จิตนี้มันมาจากไหน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนอดีตชาติไป บุพเพนิวาสานุสติญาณนี่มันไม่มีต้นไม่มีปลาย คำว่าไม่มีต้นไม่มีปลายคือมันสิ้นสุดไม่ได้เลย มันยาวไกลขนาดนั้นเลย

พอมันยาวไกล เห็นไหม นี่เรื่องของจิตที่มันไม่เคยตาย พอเรื่องของจิตที่ไม่เคยตาย ถ้ามันมาเป็นบุพเพนิวาสานุสติญาณจนมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะเนี่ย แล้วถ้ายังไม่สิ้นสุดของมันนี่มันจะมาจุตูปปาตญาณ หมายถึงจิตนี้.. ถ้าชีวิตนี้ นี่ที่ว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ประเสริฐ ประเสริฐตรงนี้ไง ถ้าเข้าถึงพุทธศาสนา อาสวักขยญาณนี่ทำให้สิ้นกิเลสไปได้ พอสิ้นกิเลสไปได้ นี่พุทธศาสนา.. พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

พอผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เห็นไหม ในมหายานบอกว่า “เจอพุทธะที่ไหนต้องให้ฆ่าพระพุทธเจ้าที่นั่น” เรารับกันไม่ได้นะ เรารับกันไม่ได้ ใครจะกล้าฆ่าพระพุทธเจ้า แต่เราเชิดชู เราเชิดชูนี่ถ้าไม่ฆ่ามันก็เห็นไม่ได้.. จุตูปปาตญาณ ถ้ายังไม่มีที่สิ้นสุดมันยังไป เห็นไหม ในเมื่อพุทธศาสนา วิชชา ๓.. วิชชา ๓ ทำให้เกิดพุทธศาสนา เพราะว่าพุทธศาสนาเกิดที่ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ นี้ กราบธรรมคือกราบสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไประลึกและรู้เห็น นี่เป็นศาสดา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เป็นแก้วสารพัดนึก

เราพาเด็กๆ มาเข้าวัดเข้าวา นี่เราปลูกฝังมัน เราปลูกฝังให้เด็กมันเข้าใจในศีลธรรม จริยธรรม.. ศีลธรรม จริยธรรม ยิ้มสยามๆ นี่มันมาจากไหน ยิ้มสยามมันยิ้มออกมาจากความรู้สึกนะ แต่เวลายิ้มของคนทั่วไปมันยิ้มจากมารยาทสังคม มารยาทคือเปลือกไง แต่เรามีหัวใจ เรามีที่มา ยิ้มสยามนี่ยิ้มออกมาจากความรู้สึก เพราะความรู้สึก พุทธศาสนาสอนถึงพุทธะ ศาสนาสอนถึงเข้าไปว่าจิตนี้มาจากไหน จิตนี้มันเป็นคน คนทุกข์ๆ ยากๆ อยู่นี้มันมาจากไหน

เวลาเกิดเป็นคนขึ้นมานี่เขาว่าอริยทรัพย์ๆ เกิดเป็นมนุษย์สมบัตินี่เป็นอริยทรัพย์ เพราะมนุษย์สมบัติมันมีกายกับใจ โดยธรรมชาติของเราเราต้องหาอาหารมาเลี้ยงกาย ปัจจัยเครื่องอาศัยนี่มันเลี้ยงชีวิตเรานะ เลี้ยงชีวิตนี่เลี้ยงชีวิต.. ชีวิตนี้คืออะไร เลี้ยงชีวิตนี่เลี้ยงร่างกาย แล้วร่างกายเป็นชีวิตเหรอ แต่เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์เพราะมีร่างกาย ร่างกายถึงบีบคั้น ร่างกายมันหิวโหย

เทวดา อินทร์ พรหมเวลาเขาไปเกิดเป็นเทวดาเขาไม่มีร่างกายนะ เขาเป็นกายทิพย์นี่เขากินอะไรเป็นอาหารของเขา อาหาร ๔ ในวัฏฏะ เห็นไหม กวฬิงกวราหาร อาหารเป็นคำข้าว.. วิญญาณาหาร อาหารของเทวดา อินทร์ พรหม

วิญญาณ ! วิญญาณ ! วิญญาณคืออารมณ์ความรู้สึก ความรู้สึกนี้ใจกินอารมณ์เป็นอาหาร จิตใจกินความรู้สึกเป็นอาหาร นี่สิ่งนี้เป็นวิญญาณในวัฏฏะ

ผัสสาหาร.. ผัสสาหารนี่ความสัมผัสของจิตหนึ่ง จิตหนึ่งผัสสะมันรับรู้ จิตหนึ่ง เห็นไหม นี่พรหม ! แล้วเขาบอกมโนสัญเจตนาหาร.. มโนสัญเจตนาหารก็เจตนาไง มโนก็ความคิดไง นี่ตีกันไปแต่ทางโลก แต่จิตมันไม่เข้าไปรู้สึก มะนัสฺมิงปิ นิพพินทะติ มะโนสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ มโนก็ต้องทำลาย

มโน เห็นไหม ในอาทิตตปริยายสูตรน่ะ มะนัสฺมิงปิ นิพพินทะติ มโนคือตัวใจก็ต้องเบื่อหน่าย ความสัมผัสของใจก็ต้องเบื่อหน่าย ผลเกิดจากความสัมผัสก็ต้องเบื่อหน่าย แต่เราเคยเห็นมโนไหมล่ะ ไม่เคยเห็นหรอก เห็นแต่อารมณ์ความรู้สึก อารมณ์ความรู้สึกนะไม่ใช่จิต.. อารมณ์ความรู้สึกไม่ใช่จิต อารมณ์ความรู้สึกเกิดบนไหน อารมณ์ความรู้สึกนี่ ความคิดนี่มันมาจากไหน เพราะมันมีปฏิสนธิจิต เพราะเราเกิดมา สัญชาตญาณเราถึงได้เป็นมนุษย์มา สัญชาตญาณมนุษย์เราถึงมีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕

ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ นี่ไงนี่มนุษย์สมบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์ เราพบพระพุทธศาสนา นี่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ประเสริฐมาก ! ประเสริฐมาก แต่พวกเราลูบๆ คลำๆ.. ลูบๆ คลำๆ ยังดีนะยังได้ลูบได้คลำบ้าง.. ไม่ได้ลูบได้คลำเลย นี่ไปตะครุบเงาอยู่นู้น พุทธศาสนาอยู่นี่ เงาตกทอดไปนู้นยิ่งกว่า ยิ่งไปไกลนะ โอ้โฮ.. ไปไกลใหญ่เลย ไปตะครุบนู้น ศาสนาอยู่ที่เงานะตะครุบกันใหญ่เลยนะ ว่าว่างๆ สบาย.. พุทธศาสนาสอนให้ปล่อยวาง ว่าง.. ตะครุบแล้วไม่มีอะไรไง ตะครุบว่าง.. ว่าง.. แต่ถ้าเอาตัวจริงมันไม่ได้ เห็นไหม เพราะตัวจริงมันต้องกินต้องใช้ ต้องมีความรู้สึกนะ

ใจของเรานี่มีทุกข์มีสุข ใจของเรานี่มันต้องถนอมรักษา ไม่ดี.. ไม่ดีหรอก แต่เงามันนะเงามันเกิดจากจิต ความคิดเกิดจากจิต เห็นไหม ดูความคิดๆ ไม่เคยเห็นหรอก เพราะดูจิตๆ นี่ ถ้าดูจิตมันต้องเห็นตัวจิต มีผู้ปฏิบัตินะไปหาหลวงปู่ดูลย์

“เห็นแล้วครับ”

“ไม่เห็น ! ไม่เห็น !” เพราะอะไร เพราะเป็นสัญญาอารมณ์ ว่างๆ ว่างๆ เงาทั้งนั้นล่ะ

นี่เงาของจิต ! เงาของจิต.. ความคิดเป็นเงาของจิต ความคิดไง นี่ดูสิไม้เราปักกับเสาไว้นี่เวลาโดนแสงแดดมันส่อง มันจะมีเงาของมันไป นั่นเราเห็นไม้นะ แต่จิตเราไม่เห็นนะ แต่เงามันเห็นนะ มันแปลกประหลาดกว่าไม้นะ แปลกประหลาดกว่าตึกรามบ้านช่อง ที่มันมีตัวมันมันถึงมีเงา แล้วจิตมันนี่ เราไม่เห็นจิตแล้วมันมีแต่เงา ตะครุบแต่เงาไม่เห็นจิต.. เงาของจิต ความคิดมันเกิดดับๆ แล้วตัวจิตมันอยู่ไหน

“เห็นแล้วครับ..”

“ไม่เห็น ! ไม่เห็น !” เพราะอะไร เพราะไปตะครุบเงา แต่ถ้าเห็นจิตนะ เห็นจิตนี่มันเข้าใจเรื่องจิต แล้วเข้าใจเรื่องเงาของจิต เพราะเงามันเกิดจากจิต ถ้ามันเข้าใจเรื่องของจิต มันจะไม่พูดหรอกว่าว่างๆ ว่างๆ เพราะตัวจิตมันพูดไม่ได้

ความรู้สึกพูดได้ไหม ! ความรู้สึกพูดได้ไหม ! แต่ความคิดพูดได้ เทียบเคียงได้ แต่ความรู้สึกพูดไม่ได้นะ อ้าว.. เราลองดูความรู้สึกเราสิ แล้วให้มันพูดออกมา แต่ถ้ามันเปรียบเทียบ เออ.. มันสุขมันทุกข์นี่พูดได้แล้ว ไอ้คำพูดมาจากไหน นี่ไงถ้าเข้าถึงสมาธินะ

แม้แต่สมาธิยังไม่รู้จักกันนะเดี๋ยวนี้ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ประเสริฐ.. ประเสริฐมาก แม้แต่พื้นฐานพวกเราก็ไม่เข้าใจ พื้นฐานของมันนะ เห็นไหม ถ้าพื้นฐานของหัวใจ ดูหลวงปู่มั่นสิ ดูครูบาอาจารย์สิ เวลาพระไปอยู่กับหลวงปู่มั่นนะ ถ้าพรรษามากๆ ท่านบอกว่า ผู้ที่พรรษามากหมายถึงว่าอยู่กับท่านมานาน มันจะมีพื้นฐานแล้ว มีความเข้าใจแล้ว ท่านจะบอกว่า

“ปล่อยให้พระเด็กๆ มันขึ้นมา มันจะได้มีข้อวัตรติดหัวมันไป.. ติดหัวมันไป !”

พอติดหัวมันไป.. ข้อวัตรปฏิบัตินี่เห็นไหม นี่ไง เราจะเห็นว่าเงาของจิตไง ข้อวัตรปฏิบัติมันจะไล่ต้อนเข้าไป ไล่ต้อนเข้าไปเพราะอะไร เพราะพวกเรา เห็นไหม ดูสิ ประเคนบาตร ประเคนอาหารนี่ ทุกอย่างมาทำบุญแล้วก็หวังบุญกุศล ทุกคนก็อยากว่าของฉันนี่ดีที่สุด ของฉันต้องได้บุญมากที่สุด แล้วทุกคนก็ว่าของฉันๆ หมดเลย แล้วพระเป็นผู้รับ เห็นไหม รับว่าของฉันๆ หมดเลย

นี่ข้อวัตรปฏิบัติ มันจะไล่เข้ามาถึงตัวฉัน แล้วก็เข้ามาว่าของฉันอยู่ไหน ถ้าว่าข้อวัตรปฏิบัตินั้นมันถูกต้อง ความดีงามมันถูกต้อง.. นี่ข้อวัตรปฏิบัติ เห็นไหม นี่สิ่งนี้มันจะเข้าไปสู่ตัวจิต ถ้าเข้าไปสู่ตัวจิตมันถึงต้องมีการกระทำ ข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องดำเนิน หลวงตาเวลาท่านไปบรรลุธรรมที่ดอยธรรมเจดีย์ “จะสอนใครได้หนอ.. จะสอนใครได้หนอ.. ใครจะรู้ได้อย่างเรา”

นี่มันตีกลับเลย “แล้วเรารู้ได้อย่างไร.. อ๋อ ! ด้วยข้อวัตรปฏิบัติ”

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตาท่านถึงได้ถนอมรักษาข้อวัตรปฏิบัตินี้มาก เพราะข้อวัตรปฏิบัตินี้เป็นการฝึกคนขึ้นมา คนมันจะดีมันจะเลวอยู่ที่การฝึกฝน จิตมันจะดีมันจะเลวอยู่ที่การกระทำของมัน มันต้องฝึกฝนของมันขึ้นมา ถ้ามันฝึกฝนของมันขึ้นมา มันจะได้รับปัจจัตตัง มันจะรู้ตามความเป็นจริงของมันขึ้นมา

ไม่ต้องทำอะไรเลย ! ไม่ต้องทำสิ่งหนึ่งอีก ไม่ต้องทำขึ้นมาหรอก อยู่เฉยๆ นี่ล่ะ ถ้าทำอีกมันทำอีกสิ่งหนึ่ง... ทำอีกสิ่งหนึ่งก็จะทำเข้าไปหามึงไง หาไอ้จิตมึง ไอ้จิตไอ้กิเลสที่มึงหลอกกูอยู่เนี่ย

มึงบอกไม่ต้องทำอะไรเลยแล้วมึงจะรู้เองเห็นเองนี่... กูไม่เชื่อมึง กูจะเอาข้อวัตรปฏิบัติเข้าไปสู่หามึง

ไอ้ที่มึงบอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องทำสิ่งใดขึ้นมาอีกสิ่งหนึ่ง ของมันมีอยู่แล้วไง... ของมันมีอยู่แล้วนี่กิเลสมันก็หลอก

ไอ้ที่ว่าไม่ต้องทำสิ่งใดนี่... กูจะทำเข้าไปหามึง.. พอเข้าไปเจอ พอเจอซึ่งๆ หน้านะมันช็อกเลย ถ้าเป็นสมาธิมันจะเป็นสมาธิจริงๆ นี่คือสัจจะข้อเท็จจริง

นี่เวลาเราเห็นนะ เวลาบอกว่านั่นก็ผิด นี่ก็ผิด แล้วพอพวกเรามาปฏิบัติกัน เห็นไหม เรามาพยายามเร่งความเพียรกัน เราพยายามสู้กัน แล้วเราก็ว่า นี่ทำทางถูกแล้วทำไมลำบากลำบนขนาดนี้ล่ะ ทำไมเราจับต้องสิ่งนั้นไม่ได้เลย

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตา ครูบาอาจารย์ เวลาท่านถึงที่สุดนะมันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ เห็นไหม เราบอกศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ประเสริฐมาก มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ แต่สิ่งที่มหัศจรรย์นี้มันก็สามารถทำได้ด้วยข้อวัตรปฏิบัติ.. สิ่งที่มหัศจรรย์ขนาดนั้นแล้วเราจะทำอย่างไร

ดูสิ หลวงปู่เสาร์นะเวลาท่านปฏิบัติมาใหม่ๆ ท่านยังไม่เข้าใจ เห็นไหม ก่อนที่ปฏิบัตินี่ปักเสานะ แล้วก็เอาสายสิญจน์ล้อมรอบเลยแล้วก็นั่งสวดมนต์นะ “ขอให้ธรรมมาสถิตที่ตา ขอให้ธรรมมาสถิตที่ใจ” ขอเอานี่ ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมงนะ หลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติไปก่อน แล้วท่านมาแก้หลวงปู่เสาร์นะบอกว่า “ไม่ต้องไปขอหรอก ไอ้ ๓ ชั่วโมงที่ขออยู่นี้นะไปเดินจงกรมจิตสงบไป ๒ รอบ ๓ รอบแล้ว” ดูสิการแก้กัน การแก้ไขกัน เห็นไหม นี่ขอให้ธรรมมาสถิตที่ตา ขอให้ธรรมมาสถิตที่ใจ ก็นั่งขออ้อนวอนขอ

นี่ก็เหมือนกันนะ ไม่ต้องทำอะไร.. ไม่ต้องทำอีกสิ่งหนึ่ง แล้วถ้าไม่เดินจงกรม ไม่นั่งสมาธิแล้วทำอะไรล่ะ.. ข้อวัตรปฏิบัตินั้นมันจะย้อนกลับไปสู่ที่ตั้ง ข้อวัตรปฏิบัตินั้นมันจะกลับไปสู่ที่มาของจิต ข้อวัตรปฏิบัติการกระทำนั้นมันจะย้อนกลับไป ทวนกระแสกลับไปสู่จิต !

ความคิดทั้งหมดเห็นไหม ต้นน้ำ ! ต้นน้ำมันไหลมา เราอยู่ที่ปากแม่น้ำ อยู่ที่กลางน้ำก็ไม่เห็นนะ อยู่ที่ปลายแม่น้ำ.. อยู่ที่ปลายแม่น้ำคือความคิดเรานี่ไง ความคิดนี้คืออยู่ปลายน้ำ แล้วความคิดนี้มันเกิดโดยสัญชาตญาณ เพราะมนุษย์สมบัตินี่ เพราะมีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เรามีกายกับจิต แล้วมีกายกับจิต นี่ตัวปฏิสนธิจิต จิตเดิมแท้นี้ผ่องใสๆ ไม่มีใครเคยเห็น ไม่มีใครเคยรู้ แล้วมันเกิดเป็นความคิดขึ้นมานี่มันเป็นปลายน้ำ ปลายน้ำเพราะอะไร ปลายน้ำเพราะมันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ มันเป็นสถานะของมนุษย์

มนุษย์.. เทวดา.. อินทร์.. พรหม สถานะแตกต่างกัน เกิดจากจิต ! จิตดวงหนึ่งไปเกิดสถานะไหน จิตดวงนั้นไปเกิดสถานะนั้น.. สถานะนั้นๆ จิตนี้คือดวงเก่า สถานะคือที่ใหม่ แล้วสถานะมีอายุขัย สถานะต้องสิ้นไป จิตมันเวียนตายเวียนเกิดมันไปอย่างนั้น เห็นไหม นี่พอได้สถานะมา ด้วยสัญชาตญาณมันก็เลยเป็นปลายน้ำ เพราะได้สถานะนั้นมาแล้ว

ต้นสถานะคือกรรม.. กรรมคือปฏิสนธิจิตที่เอาไปเกิด พอเกิดขึ้นมาได้สถานะคือปลายน้ำ ปลายน้ำก็เป็นมนุษย์ธรรมดานี่ไง ว่างๆ สบายๆ ไม่ต้องทำอีกสิ่งหนึ่งเลย.. นี่เป็นศาสนาเชนนะ เห็นไหม ไม่ติดอะไรเลยไง แก้ผ้าเปลือยกายเลยนะ ไม่ติดอะไรเลยนะ แต่เอาผ้ามาปิดจมูก เดี๋ยวตัวอินทรีย์มันจะเข้าเวลาหายใจนะ เปลือยกายล่อนจ้อนนะไม่ติดอะไรเลย.. ไม่ติดอะไรเลย มันเป็นเชนไปแล้ว !

แต่ถ้าเป็นความจริง สถานะที่เราได้มานี่มันเป็นปลายน้ำ แล้วปัญญาปลายน้ำนี่ ดูสิ ปากน้ำ เห็นไหม มันเป็นสิ่งที่เป็นทรัพยากรเยอะมากปากแม่น้ำเนี่ย แต่ปากแม่น้ำมันมาจากต้นน้ำ การจะดับสิ้นขบวนการของแม่น้ำนี้ต้องย้อนขึ้นไปสู่ต้นน้ำ ตาน้ำ แล้วไปทำลายกันที่ตาน้ำนั้น

ปฏิสนธิจิต.. จิตตัวเกิดตัวตายอยู่ในใจของเรา เราทำความสงบของใจขึ้นมา ได้สงบเมื่อไหร่เห็นตาน้ำหนหนึ่ง ได้สงบเมื่อไหร่เห็นตาน้ำหนหนึ่ง แต่ความสงบนี้ก็คลาดเคลื่อนมาตลอด จิตของเรามันคลาดเคลื่อนมาตลอด เราต้องพยายามของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา.. พูดถึงในการประพฤติปฏิบัตินะ ว่าปฏิบัติยากๆ นู้นก็ผิด นี่ก็ผิด แล้วก็ไอ้ถูกๆ นี่แหม.. ทุกข์เหลือเกิน

มันเป็นตามข้อเท็จจริง ! มันเป็นไปโดยกรรม ! เป็นไปโดยกรรม เป็นไปโดยการฝึกสติ เป็นไปโดยการตั้งใจ เป็นไปโดยการวิริยะอุตสาหะ มันเป็นข้อเท็จจริง นี่ไงมันถึงมีผลบุญผลกรรมไง ใครทำอำนาจวาสนามา สร้างบุญมากรรมมา มันก็ทำให้มีเชาว์ปัญญา มีอินทรีย์แก่กล้า ใครทำบุญทำกรรมมามากมาน้อยมันวัดผลกันตรงนี้ไง เราแข่งอำนาจวาสนากันไม่ได้ไง

อำนาจวาสนาหมายถึงสิ่งที่เราสร้างมาจากอดีตชาติ สิ่งที่มันเป็นประวัติศาสตร์มาแต่ละบุคคลนี้ ทีนี้แต่ละบุคคลนี้มันมาอย่างนี้ เห็นไหม เราทำมาเอง มันจะยากจะง่ายเราก็ทำของเราไป เพื่อประโยชน์กับเรา

นี่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ประเสริฐมาก ! แล้วถ้าเราเกิดมาแล้ว เราจะกำขี้หรือกำทอง ถ้าเราจะกำทองคำเราต้องตั้งใจของเรา ทองคำหายาก ขี้นี่เขาเกลื่อนกลาดจนรถดูดส้วมมันดูดกันไม่หวาดไม่ไหว ธรรมะทั่วไปกับธรรมะขี้เหม็นนี่อย่าไปยุ่งกับมัน เราเอาธรรมของความจริง ทองคำหายากนะ แล้วเราหาเพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง